ตลาด Smartwatch โตกว่า 42% ในไตรมาส 3 ปีนี้ Apple ยังนำโด่ง ทิ้งห่างที่ 2 หลายขุม

ตลาด Smartwatch โตกว่า 42% ในไตรมาส 3 ปีนี้ Apple ยังนำโด่ง ทิ้งห่างที่ 2 หลายขุม

ขณะที่ตลาดสมาร์ทโฟนทั่วดลกกำลังอยูในช่วงซบเซา ดูเหมือนว่าตลาดเครื่องประดับไอทีอย่าง Smartwatch กลับเติบโตสวนทางและกำลังอยู่ในช่วงที่เรียกว่ารุ่งโรจน์ก็ว่าได้. ข้อมูลล่าสุดจาก Strategy Analytics เผยตัวเลขยอดจำหน่าย Smartwatch ทั่วโลกในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2019 ที่สูงถึง 14.2 ยูนิต คิดเป็นตัวเลขกว่า 42% เมื่อเทียบกับตัวเลขในปีที่แล้วที่ทำได้พียง 10 ล้านยูนิต.

เช่นเคย Apple ยังคงครองตำแหน่งผู้นำในสายธุรกิจนี้ 

ด้วยยอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 6.8 ล้านเครื่อง จากไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้วที่ทำไปเพียง 4.5 ล้านเครื่อง เช่นเดียวกับส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นจาก 45% เป็น 47.9%. Apple Watch ทั้งส่วนแบ่งการตลาดและยอดขายนำห่างอันดับสองอย่าง Samsung ค่อนข้างมาก. โดยไตรมาสนี้ Samsung ทำยอดไป 1.9 ล้านเครื่อง เพิ่มจากปีที่แล้วในไตรมาสเดียวกันที่ทำไป 1.1 ล้านเครื่องเท่านั้น. ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นจาก 11% เป็น 13.4% นั่นเพียงพอทำให้ Samsung ทำสถิติยอดจำหน่าย smartwatch ทีเติบโตที่สุดในรอบปี โดยเพิ่มขึ้นกว่า 73%.

Fitbit ที่ตอนนี้มีเจ้าของเป็น Google ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 3 มีส่วนแบ่งการตลาดลดลงจาก 15% เหลือเพียง 11.3% แต่มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นนิดหน่อยจาก 1.5 เป็น 1.6 ล้านเครื่อง.

LG Electronics หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกา์รายใหญ่ของเกาหลีใต้ ได้มีการยื่นสำนวนฟ้องต่อศาลเมือง Mannheim และ Düsseldorf, ประเทศเยอรมันนี กรณีมีการพบว่าบริษัท TCL ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจากประเทศจีนมีการละเมิดสิทธิบัตรที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญา. โดยทาง LG Electronics มีการกล่าวหาว่า บริษัทจีนรายนี้ได้มีการละเมิดสิทธิบัตรพื้นฐานบองหย่างซึ่งเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของ LG กว่าสามรายการ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้ เทคโนโลยี 4G LTE ที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของ LG.

เมื่อช่วงผีที่ป่านมา TCL ทำยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนทั่วโลกไปได้กว่า 15 ล้านเครื่อง. LG เคยมีการยื่นข้อเสนอต่อรองเรื่องสิทธิบัตรเหล่านี้ตั้งแต่ปี 2016 ที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้มีการทำข้อตกลงใดๆกับบริษัทจีนรายนี้

เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา LG ได้มีการยื่นฟ้องต่อศาลเมือง Munich กล่าวหา 3 บริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ภายในบ้านจากยุโรปฐานละเมิดสิทธิบัตรการผลิตเครื่องผลิตน้ำแข็ง. ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาก็ได้มีการยื่นฟ้องต่อศาลที่สหรัฐฯกล่าวหาว่า Hisense บริษัทผู้ผลิต TV จากประเทศตีนมีการละเมิดสิทธิบัตรที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของ LG กว่า 4 รายการ.โดยข้อมูลจาก TechIPM เผยว่า ช่วง 2012 ถึง 2016 LG ถือครองสิทธิบัตรเกี่ยวกับ 4G LTE และเทคโนโลยี LTE-Advanced มากที่สุด

บริษัทมะกันแห่งเดียวที่ Huawei อยากกลับไปร่วมงานด้วยคือ Google

ปัญหาจากการถูกสั่งแบนห้ามทำการค้าขายกับสหรัฐฯนั้นถือเป็นเรื่องส่งผลกระทบค่อนข้างมากกับยักษ์ใหญ่แห่งวงการอย่าง Huawei. ย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นปี หัวเว่ยได้มีการตั้งเป้ายอดจำหน่ายสินค้าอยู่ที่ 300 ล้านเครื่อง ซึ่งเพียงพอที่จะแย่งตำแหน่งความเป็น “ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลก” จาก Samsung ได้. แต่อะไรๆก็ต้องเปลี่ยนไปหลังจากที่เปิดปัญหากับทางรัฐบาลสหรัฐฯขึ้น ซึ่งหัวเว่ยคาดว่ายอดตัวเลขที่ตั้งเป้าเอาไว้หายไปกว่า 10% เลยทีเดียว.

แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถหยุดการเติบโตของหัวเว่ยได้, ไตรมาสที่ผ่านมา Huawei มียอดการขจำหน่ายสินค้า(เฉพาะในประเทศจีน) โตขึ้นกว่า 66% และได้ส่วนแบ่งการตลาดไปกว่า 42.4% ในไตรมาสเดียวกัน ขณะที่เจ้าอื่นๆอย่าง VIVO, Oppo และ Xiaomi ต่างร่วงกันไปเป็นแถบๆ. จากรายงานถึงตอนนี้หัวเว่ยทำยอดจำหน่ายทะลุ 200 ล้านเครื่องไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังหายใจไม่ทั่วท้องอยู่ดีเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ทำไป 206 ล้านเครื่อง. แต่ถึงกระนั้น เมื่อหักลบกับปัญหาที่เกิดกับรัฐบาลสหรัฐฯแล้วก็ถือว่าหัวเว่ยยังมีการเติบโตที่ค่อนข้างดีและต่อเนื่องอยู่.

นอกจากเรื่องของสมาร์ทโฟนและ ในฐานะผู้ผลิตอุปกรณ์เน็ตเวิร์คที่ใหญ่ที่สุดและมีเทคโนโลยี 5G ที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก Huawei ก็ยังไม่วายถูกรังควาญจากรัฐบาลทรัมป์ ด้วยการประกาศขอไม่ให้เหล่าชาติพันธมิตรใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยี 5G หัวเว่ย. แต่ดูเหมือนว่าแผนการครั้งนี้ของสหรัฐจะไม่เป็นผล ซ้ำยังถูกเตือนจากบริษัทด้านเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง Oracle และ Cisco มันยากที่จะลงแข่งกับหัวเว่ยในสายงานนี้ แถมต้องเสียทั้งเงินและเวลาอย่างมหาศาล. ซึ่งนั่นทำให้เกิดเป็นไอเดียเรื่องการออกใบอนุญาตเฉพาะในสินค้าและทรัพย์สินทางปัญญาบางอย่าง.

Huawei CEO, Ren Zhengfei บอกกับสื่อว่า เขายังไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องนี้กับทางสหรัฐฯแต่อย่างใด. เขาบอกว่าข้อเสนอนี้อาจจะดูจริงใจ แต่เชื่อว่าหากสหรัฐฯได้เข้าถึงเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาของหัวเว่ย ไม่เกินสามปีก็สามารถแซงหัวเว่ยได้แล้ว. Ren กล่าวว่า “เราอยู่ได้สบายโดยไม่มีสหรัฐฯ” เขายังบอกอีกว่า “เราไม่หวังว่าสหรัฐฯจะถอดชื่อเราออกจากบัญชีดำ และอาจจะอยู่ในนั้นตลอดไปเพราะว่าเราอยู่ได้โดยไม่ต้องมีเขา”.

ถึงตอนนี้มีบริษัทสัญชาติอเมริกันที่ Huawei อยากจะร่วมงานด้วยจริงๆ นั่นคือ Google ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะได้รับอนุญาตให้ใช้ Android เวอร์ชั่นเต็มพร้อม Google Play Services และแอ้พหลักอย่าง Play Store, Search, Maps, Gmail, YouTube และอื่นๆ ซึ่งมันอาจจะไม่ได้สำหัญอะไรกับสมมาร์ทโฟนเวอร์ชั่นที่ขาบเฉพาะในจีน แต่สำหรับส่งขายทั่วโลก Google คือคีย์หลัก.

แนะนำ : ดูดวงไพ่ยิปซี | รีวิวที่พัก | รีวิวคาเฟ่ | วิธีลดน้ำหนัก | รีวิวอนิเมะ ญี่ปุ่น